"เวลา" เปรียบเสมือนดั่งครูที่คอยบ่มเพาะตัวตนของผู้ศรัทธาทุกคนให้เรียนรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ได้กระทำในอดีต ทั้งเรื่องที่ดี หรือ ร้าย ทุก ๆ สิ่งในโลกนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับเวลาแทบทั้งสิน ซึ่งหากปราศจากคำว่าเวลานี้แล้ว การพัฒนาตัวตนของผู้ศรัทธาก็ย่อมจะมิบังเกิด ดังนั้นเราจึงพูดได้ว่า เวลาเป็นองค์ประกอบหลักในการพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้านั่นเอง
ลองจินตนาการ หากไร้ซึ่งเวลา มันคงจะคล้ายกับเรากำลังอาศัยอยู่ในสูญญากาศที่ตัวตนของเราแทบจะล่องลอยและยากลำบากในการเคลื่อนที่ไปมา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาจึงสำคัญที่จะช่วยป้องกันความยุ่งเหยิง เพียงเพราะสสารทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นย่อมมีเวลาคอยกำหนดแทบทั้งสิ้น
ลองจินตนาการ หากไร้ซึ่งเวลา มันคงจะคล้ายกับเรากำลังอาศัยอยู่ในสูญญากาศที่ตัวตนของเราแทบจะล่องลอยและยากลำบากในการเคลื่อนที่ไปมา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาจึงสำคัญที่จะช่วยป้องกันความยุ่งเหยิง เพียงเพราะสสารทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นย่อมมีเวลาคอยกำหนดแทบทั้งสิ้น
นับตั้งแต่ผู้ศรัทธาได้ยึดมั่นกับสิ่งที่กระทำอยู่ ซึ่งเราทราบกันดีว่าไม่สามารถที่จะเร่งเวลาให้เร็วขึ้นได้ เพื่อที่จะให้บรรลุถึงเป้าหมายที่วางใว้ ดังนั้นให้เราทำมันด้วยความเต็มที่ซะ และปล่อยให้เวลาบ่มเพาะสิ่งเหล่านั้นให้เติบโต งอกงาม โดยคิดซะว่า ทุกอย่างย่อมมีวัตถุประสงค์อยู่ที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงมอบให้ ดั่งสุภาษิตไทยที่กล่าวว่า "อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด" ทางกลับกันเราก็สามารถย่นระยะเวลาไปยังเป้าหมายได้เช่นกันด้วยการใช้เวลาหนึ่งในการวางแผนก่อนทำ แต่จงจำใว้ว่า ถ้าเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ เวลาที่เสียไปก็จะกลับมาทำให้อยู่ในภาวะลำบากยิ่งขึ้น หรือที่เรามักจะพูดกันเล่น ๆ ว่า "ไฟล้นก้น" และก่อนที่จะทำมันสำเร็จ บางครั้งมันอาจจะสายไปแล้วก็ได้ เราก็จะกลายเป็นเสียใจกับเวลาที่เสียไปเหล่านั้น และอยากที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขมัน
ผู้คนส่วนมากมักจะจมกับปัญหาที่พบเจอ แล้วคอยโทษตัวเอง หรือ น้อยใจตัวเองว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น หรือ ไม่น่าทำเลย แต่ไม่เคยที่จะมาดูในอีกมุมหนึ่งว่าบางทีสิ่งที่เราทำผิดพลาดเหล่านั้น มันอาจจะช่วยให้เราได้เรียนรู้และเตรียมหาวิธีแก้ไขหรือรับมือกับปัญหาเหล่านั้นในอนาคต เพราะหากเรามีพระองค์อัลลอ์อยู่ในใจ ก็จะไม่มีวันใหนหรอกที่จะแย่ไปกว่าวันที่เราลืมพระองค์หรือเราไม่มีโอกาสได้มีลมหายใจได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราเจอปัญหาหนึ่ง และเราก็เสียอกเสียใจกับปัญหาเหล่านั้น ร้องห่มร้องให้ คอยโทษตัวเอง หรือ น้อยใจตัวเอง เชื่อเถอะว่าหากผู้ศรัทธายังไม่หลุดจากวงจรดังกล่าว มันจะกลายเป็นปัญหาเหล่านั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ดั่งเรากำหินอยู่ในมือ ยิ่งเราบีบแรงเท่าใหร่ เราก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น ลองคลายดูสิ และเชื่อมันในความเมตตาของพระองค์อัลลอฮ์ พร้อมขอความช่วยเหลือ ไม่นานพระองค์จะมอบวิธีมาให้เราเองโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะหากผู้ศรัทธาจมอยู่ในบ่มของความเสียใจนั้น ไม่ใช่แค่ผู้ศรัทธาจะรู้สึกเจ็บปวด แต่มันย่อมมีผลทำให้คนรอบข้างเจ็บปวดด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าเราจะเจอกับปัญหาที่หนักหน้าแค่ใหน กำลังรอที่จะทำฝันให้เป็นจริงถึงแม้ว่าเส้นทางเหล่านั้นอาจจะดูยาวไกล หรือตั้งใจที่จะทำงานหนักเพื่ออนาคต สิ่งเหล่านั้นย่อมต้องใช้เวลาแทบทั้งสิ้น ทั้งหมดที่ผู้ศรัทธาต้องทำก็เพียงแค่บ่มเมล็ดพันธ์แห่งความสำเร็จลงและหมั่นคอยรดน้ำพรวนดิน คอยดูการเติบโตที่ละนิด ไม่นานผู้ศรัทธาก็จะเห็นถึงต้นไม้ที่คอยดูแลเป็นอย่างดี ออกดอกผลิผล ซึ่งนั่นแหละเราจะรู้สึกว่าเวลาที่เราใช้ไปกับมัน แทบจะช่วยให้เรามีไฟและกำลังใจที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงย่อมจำเป็นต้องใช้เวลาของมัน และจงอย่าคิดที่จะหาทางลัดเพราะไม่งั้นจะเปรียบดั่งการสร้างบ้านที่เราไม่ได้ดูแลเรื่องรากฐาน เพราะการเติบโตอย่างฉาบฉวย มั่นย่อมที่จะนำความหายนะในอนาคตมาได้อย่างแน่แท้
สุดท้ายนี้ ขอให้ผู้ศรัทธาทุกคน จงละลึกใว้ว่า สิ่งที่ทำอยู่ หากอยู่ภายใต้ครรลองของอิสลามที่อนุญาติแล้วไซร้ สิ่งที่ได้กลับมาย่อมจะได้รับกลับมามากยิ่งกว่า เพราะผู้ให้ย่อมไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เราคิดว่าเราจะถึงฝันได้ หากพระองค์อัลลอฮ์ไม่ดลบันดาลให้คนเหล่านั้น ยังไงซะเราก็จะไม่มีวันได้สิ่งเหล่านั้น
0 ความคิดเห็น